มวยคู่หยุดโลก! “ความรวย" ปะทะ “อิสรภาพทางการเงิน”
 |
| พอล ภัทรพล ศิลปาจารย์ |
มวยคู่หยุดโลก! “ความรวย" ปะทะ “อิสรภาพทางการเงิน”#จากหนังสือ "เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโคตร"ผู้เขียน "พอล" ภัทรพล ศิลปาจารย์นิยาม “ความรวย” ในแบบของผมก็คือ มีเงิน มาก แต่ไม่กล้าใช้/กังวล เพราะกลัวพร่อง “รวย” ก็คือการมี Active Income มากกว่า ไลฟ์สไตล์ ซึ่งแน่นอนขั้นแรกใครๆ ก็อยากรวยด้วย กันทั้งนั้นแต่ “อิสรภาพทางการเงิน” มันเหนือชั้นกว่า นั้น เพราะมันคือการใช้เงินได้แบบไร้กังวลตลอดไป เพราะฉะนั้น “อิสรภาพทางการเงิน” ก็คือ การที่เรามี Passive Income มากกว่าไลฟ์สไตล์ สองอย่างนี้จึงต่างกันที่ Quality หรือประเภทของ เงินนั่นเองครับ
ทุกวันนี้เราใช้มือถือยี่ห้อธรรมดาๆ แค่รับสายกับโทรออกได้ก็พอแล้ว แต่เราก็ใช้ไอโฟน ขับวีออสก็ไปถึงที่หมาย แต่เราก็เลือกขับเบนซ์ ก็เพราะมันคือไลฟ์สไตล์ไงครับ แต่เราจะซื้ออะไรมันก็ต้องอยู่ในงบประมาณการใช้จ่ายว่าอยู่ในระดับไหน ซึ่งผมเรียกมันว่า “ไลฟ์สไตล์” ผมอยากให้คุณลองจดรายการที่คุณต้องใช้มาทั้งชีวิตว่ามีอะไรบ้าง เช่น ค่ากิน ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ให้พ่อให้แม่เท่าไหร่ จดมาว่ารวมๆ แล้วต่อเดือนเท่าไหร่
บางคนอาจจะได้รายจ่ายออกมา 9 แสนบาท โดยที่มีรายรับ 1 ล้านบาท สรุปว่าเหลือเงิน 1 แสนบาท ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้วครับ
แต่ผมถามต่อว่าแล้วเดือนหน้าจะต้องเก็บเงินอีกมั้ย แล้วปีหน้าล่ะ? 5 ปีข้างหน้าล่ะ? 10 ปี? 30 ปี? คำตอบก็คือ ยังไงก็ต้องเก็บ เพราะว่ามันหยุดไม่ได้ ชีวิตแบบนี้จึงหยุดไม่ได้ทั้งกายทั้งใจ
ผมเคยเจอคนที่มีเงิน 50 ล้านบาท บางคนบอกว่ามีขนาดนั้นน่าจะหยุดได้แล้ว แต่เค้าคนนี้ก็ยังทำงานต่อ ถามว่าทำไม? คำตอบก็คือ ทุกคนมี“จุดอุ่นใจ” เช่น สมมติว่าคนนี้มีจุดอุ่นใจว่า ถ้าเขามีเงินเก็บ 50 ล้านบาทเขาจะรู้สึกว่าปลอดภัย
ปรากฏว่าผ่านไปไม่ถึงปี ลูกมาขอเงินซื้อรถ 5 ล้านบาท ตอนนี้เขาก็มีเงินเหลือ 45 ล้านบาท เดือนถัดมาลูกอีกคนมาขอเบ๊นซ์อีกคัน เลยเหลือเงิน 40 ล้านบาท มาถึงตรงนี้คนเป็นพ่อก็จะเริ่มไม่อุ่นใจ พอไม่อุ่นใจแล้วทำไง? ก็ต้องหาเงินเพิ่ม กลายเป็นว่าไม่มีวันหยุด หยุดไม่ได้
จุดอุ่นใจของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางคน 10 ล้านก็อุ่นใจ บางคน 50 ล้านอุ่นใจ แต่บางคนต้อง 100 ล้านถึงจะอุ่นใจ คือไม่มีใครเหมือนกันแต่ที่เหมือนกันก็คือ “ไม่มีวันหยุดหาเงินได้” ในทางตรงข้าม ถ้าคุณรู้โจทย์แล้วว่าไลฟ์สไตล์ในแบบของคุณ ต้องใช้เงินเดือนละ 9 แสนบาท แล้วคุณมี Passive Income เดือนละ 1 ล้านบาท แบบนี้สิที่เรียกว่า “หยุดได้”
เพราะฉะนั้นคุณจึงต้องคิดออกมาก่อนว่า “ชีวิตที่ยอดเยี่ยมในแบบของคุณ”มันต้องใช้เงินประมาณเท่าไหร่ บางคนเดือนละ 3 แสนบาท บางคน 5 แสนบาทก็พอแล้ว
แต่ถ้ามี Passive Income ไม่ว่าจะมากจะน้อย ความกังวลในชีวิตจะหายไป Passive Income เป็นอะไรที่ทุกคน “จำเป็น” ต้องมี ไม่ใช่แค่ควรจะมี เพราะมี Passive Income น้อย ก็เหนื่อยมาก มี Passive Income มาก ก็เหนื่อยน้อยและถ้ามีมากถึงจุดๆ หนึ่ง คุณก็จะหยุดทำงานได้ทันทีตลอดไป หยุดทั้งกายทั้งใจ
ลองนึกดูสิว่า ถ้าวันนึงคุณโชคร้ายโดนเมียแพ่นกะบาลเพราะจับได้ว่ามีกิ๊ก เลยต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวที่โรงพยาบาล แล้วโชคดีที่คุณยังมี Passive Income สมมติว่าแค่เดือนละ 10,000 บาท แต่อย่างน้อยมันก็ยังจ่ายค่าน้ำค่าไฟได้ แม้คุณจะไม่ได้ทำงานก็ตาม แบบนี้เครียดน้อยลงมั้ยครับ?
แล้วถ้ามี Passive Income เดือนละ 100,000 บาทล่ะ แล้วถ้าเดือนละ 1,000,000 บาทล่ะ? มีอะไรต้องเครียดมั้ย? ไม่มีทางแน่นอน (แต่จะไปเครียดอีกที ตอนออกจากโรงพยาบาลแล้วโดนเมียสอบสวน ฮ่าๆๆ)
#เพราะฉะนั้นย้ำอีกทีครับว่า
Passive Income
เป็นอะไรที่ทุกคน
“จำเป็น” ต้องมี!
Cr.Stock2morrow
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น